การขับรถท่ามกลางสภาพแวดล้อมในตอน “กลางคืน” ทำให้การมองเห็นทัศนวิสัยรอบข้างไม่ดีเหมือนตอนกลางวัน และยากต่อการตัดสินใจกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น เพราะการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถคาดเดาระยะทางและสิ่งกีดขวางได้ทันท่วงที จึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
จากสถิติอุบัติเหตุบนถนนกว่า 50% เกิดขึ้นในเวลากลางคืนบนทางร่วม ทางแยกที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจร เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวทำให้การมองเห็นด้อยประสิทธิภาพลงไปมาก (ข้อมูลจาก: สำนักอำนวยความปลอดภัย ปี 2560) รวมทั้งการขับรถในตอนกลางคืนท่ามกลางฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด ยิ่งเพิ่มความอ่อนล้าให้กับสายตา เนื่องจากตาต้องทำงานหนักมากกว่าการมองในตอนกลางวัน เพื่อความปลอดภัยขอแนะนำเทคนิคการขับรถในตอนกลางคืน ดังนี้
- มีสติ มีความพร้อมในการขับรถตอนกลางคืน เพราะตอนกลางคืนจะมีทั้งความง่วง ความเหนื่อยล้า ที่อาจทำให้เกิดการหลับใน ผู้ขับขี่ต้องรู้ตัวเองก่อนขับเสมอ
- ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการขับรถตอนกลางคืน อย่าลืมตรวจเช็คระบบไฟทุกดวง ทั้งภายในรถ และนอกรถ เช่น ไฟในห้องโดยสาร ไฟหน้า ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟเบรก ไฟฉุกเฉินว่ามีความสว่างเพียงพอหรือไม่
- ไฟสูง ใช้สำหรับกะพริบแจ้งเตือนรถช้าที่แล่นอยู่เลนขวา เพื่อขอทางสำหรับแซง ใช้ส่องไปที่ด้านหน้าเมื่อขับในเส้นทางที่มืดมิดไม่มีไฟถนน เพื่อตรวจสอบสภาพถนนข้างหน้า ให้สัญญาณแจ้งเตือนรถคันข้างหน้า ไม่ควรขับเร็วพร้อมเปิดไฟสูง ซึ่งทำให้รถที่แล่นสวนมามองไม่เห็น
- ระวังรถจอดเสียบริเวณไหล่ทาง โดยเฉพาะรถบรรทุกชอบจอดเสียตามไหล่ทาง ซึ่งถือเป็นพื้นที่อันตราย ผู้ขับต้องระวังขณะขับรถในทางขึ้น-ลงเขา ทางวกไปวนมา หรือทางโค้งที่เป็นมุมอับแสง ควรเปิดไฟสูงสลับกับไฟต่ำบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
- ทิ้งช่วงให้ห่างจากรถคันข้างหน้า และคอยระวังไม่ให้รถคันหลังมาตามจี้ท้าย จะช่วยทำให้มีระยะมากพอสำหรับเบรก
- เพิ่มความระมัดระวังเมื่อขับรถในบริเวณชุมชน เมื่อขับในเขตชุมชนมอเตอร์ไซค์หรือรถอาจโผล่ออกมาตัดหน้าคุณได้ เมื่อขับผ่านชุมชนในตอนกลางคืน ลดความเร็วทุกครั้งที่วิ่งผ่านชุมชน
สำหรับข้อปฏิบัติข้างต้นเป็นเพียงเทคนิคในการขับรถในตอนกลางคืน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้ขับขี่ควรตระหนักเสมอว่า ขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนรถ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในช่วงกลางวันหรือกลางคืน ก็อย่าลืมมีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมทางที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน และควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้ความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุก็ลดลงได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ